อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และอนุสาวรีย์

ภาพจาก: https://thai.tourismthailand.org/Attraction/
อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน

            อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน อยู่ห่างจากตัวเมือง 15 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวง
หมายเลข 3032 มีพื้นที่ประมาณ 115 ไร่

            จังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย เพราะมีวัดเก่าแก่หลายวัด
และเป็นเมืองยุทธศาสตร์ในการทึกศึกสงครามสมัยอยุธยาที่สำคัญด้วยเรื่องราวที่ได้รับการกล่าวขานมาก
ที่สุดของท้องถิ่นนี้คือวีรกรรมอันกล้าหาญของชาวบ้านบางระจันที่ช่วยต่อต้านทัพพม่าไว้ได้นานดังนั้น
จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์วีรชนขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนั้น รวมถึงอุทยานค่ายบางระจันด้วย
ป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ปัจจุบันสร้างให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และมีพิพิธภัณฑ์
ให้เยี่ยมชมศึกษา ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมือง 15 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3032 มีพื้นที่ประมาณ
115 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเปิดอนุสาวรีย์นี้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2519
เป็นสวนรุกขชาติ บรรยากาศร่มรื่นย์ สวยงาม
             เมื่อมาถึงจะเห็นอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อประติมากรรมของหัวหน้าชาวค่ายบางระจัน
ทั้ง 11 คน สร้างโดยกรมศิลปากรปรากฏสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ในสวน ค่ายบางระจันมีความสำคัญยิ่งทาง
ประวัติศาสตร์ โดยเมื่อเดือน 3 ปีระกา พ.ศ. 2308ชาวบ้านบางระจันได้รวมพลังกันต่อสู้กับกองทัพพม่า
ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลเป็นต่ออย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นพม่ายังยกทัพเข้าตีหมู่บ้านนี้ถึง 8 ครั้ง
ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จึงเอาชนะได้เมื่อวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 กล่าวได้ว่า
ชาวบ้านต้านทานกองทัพได้เป็นเวลานานด้วยกำลังพลเพียงน้อยนิด สำหรับค่ายบางระจันนั้น ในปัจจุบัน
ได้จำลองขึ้นโดยอาศัยรูปแบบค่ายในสมัยโบราณ และภายในบริเวณยังมีอาคารศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์
วีรชน ค่ายบางระจัน ซึ่งจัดห้องนิทรรศการอยู่ตลอดโดยแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ ดังนี้
            ห้องแรก แสดงเรื่องค่ายบางระจัน เครื่องใช้โบราณ แหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อย หนังใหญ่
ห้องที่สอง จัดแสดงมรดกเมืองสิงห์บุรี ห้องที่สาม แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองสิงห์บุรีและ
ของดีเมืองสิงห์บุรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. การเดินทาง: โดยรถประจำทาง
สามารถขึ้นรถที่ บขส. ในอำเภอเมืองสิงห์บุรี สายสุพรรณบุรี-สิงห์บุรี มาลงที่อนุสาวรีย์วีรชนฯ ติดต่อ
สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 0 3659 7126

            ประภัสร์ ภูมิไชยา (ออนไลน์ : 2566) ได้กล่าวถึง วีรชนบางระจัน ว่า “ความสามัคคี มีพลัง
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” คำกล่าวนี้เปรียบได้กับชาวบ้านบางระจัน ที่เป็นละครดังหลังข่าวทางไทยทีวีสี
ช่อง 3 (จะ HD หรือ ไม่ HD คงดูกันทั่วหน้า) วีรชนชาวบ้านที่แสดงออกถึงความสามัคคี ความรักและ
หวงแหนต่อแผ่นดินเกิด ที่ไม่ยอมให้ข้าศึกเข้ามารุกราน แม้นตัวตายก็ยอมขอให้ชาติอยู่รอดปลอดภัย
แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมว่าการที่จะปกป้องแผ่นดินอันเป็นที่รัก แผ่นดินแม่ แผ่นดินที่ให้กำเนิด นั้นไม่ใช่
เรื่องยากแต่มันอยู่ที่จิตใจที่มั่นคง ความตระหนักในความเป็นไทย จิตสำนึกของความเป็นคน ที่แสดงออก
มาข้างในถ่ายทอดมาเป็นการกระทำ ดังเช่น ชาวบ้านบางระจันที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่จะมีใคร
รู้ไหมว่าการต่อสู้กับข้าศึกที่เข้ามาประชิดหน้าค่ายนั้นต้องสูญเสียไพร่พล ชาวบ้านสักเท่าไหร่ การรบกี่ครั้ง
แต่ก็ไม่ถอยเพื่อแผ่นดินที่เรียกว่าแผ่นดินไทย ในบทความนี้จะกล่าวถึง 11 วีรชนผู้ที่เป็นพ่อบ้านบ้านระจัน
(บางระจัน) โดยเริ่มจากท่านแรก

            1. พันเรือง
            เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน (บ้านระจัน) เมื่อถูกพม่าเข้าปล้นหมู่บ้านหาข้าวปลาอาหารทัพ ชาวบ้านถูกทหาร
พม่ารังแก ข่มแหง จึงได้รับความเดือดร้อน นายพันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายจันหนวดเขี้ยว ปรึกษากันให้
ช าวบ้านบางระจันทั้งหมด ไปอยู่ในวัดโพธิ์เก้าต้นเป็นที่หลบทหารพม่าเพราะมีคลองธรรมชาติล้อมรอบถึง 2 ชั้น
และรวมชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง ซึ่งแบ่งกลุ่มกันออกลาดตะเวน หลอกล่อทหารพม่าให้หลงทางเข้าตี
ไม่ถูก และนายพันเรืองยังเป็นผู้ออกความคิดหล่อปืนใหญ่ เพื่อยิงทำลายค่ายพม่า จึงชักชวนชาวบ้านช่วยกัน
เสียสละทองเหลือง ทองแดง หล่อปืนขั้น 2 กระบอก แต่ใช้การไม่ได้ อาจเป็นเพราะโลหะไม่เป็นชนิดเดียวกัน
หรือไม่มีความชำนาญ ชาวบ้านต้องอยู่ในสภาพเสียขวัญกำลังใจ และท่านได้หลบหนีทหารพม่าในคราวค่าย
แตกไปเสียชีวิตริมฝังคลอง

            2. นายแท่น
            เป็นคนบ้านศรีบัวทองแขวงเมืองสิงห์บุรี เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญและมีฝีมือในการวางแผนรบ
จัดได้ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่อีกท่านหนึ่ง นายแท่นคุมพลเข้ารบกับทหารพม่าหลายครั้งได้รับชัยชนะ ในการรบ
ครั้งที่ 2 ท่านคุมพล 200 คน เป็นทัพหลวงท่านคุมพลเข้าตีลวงหม่าก่อน และให้ทัพปีกขวาและปีกซ้ายเข้าตี
โอบหลังสนามรบคือฝั่งคลองทุ่งห้วยไผ่สะตือสี่ต้นในการรบครั้งนั้นท่านได้รับชัยชนะ และสามารถฆ่าแม่ทัพ
พม่าได้คือ สุรินทร์จอข่อง แต่ท่านก็ได้รับความบาดเจ็บที่เข่าเนื่องจากถูกอาวุธของข้าศึกต้องหามกลับค่าย
หลังจากนั้นท่านต้องนอนรักษาตัวอยู่ในค่ายได้มินานก็เสียชีวิตเพราะพิษบาดแผล

            3. นายโชติ
            เป็นคนบ้านศรีบัวทอง แขวงเขตเมืองสิงห์บุรีติดต่อเมืองสุพรรณบุรี นายโชติได้รวมชาวบ้านที่ถูกกอง
ลาดตะเวนของทหารพม่า ข่มเหงและให้ส่งหญิงสาวให้ในครั้งนั้นท่านกับพรรคพวกได้ลวงทหารพม่าไปฆ่าได้กว่า
20 คน จากนั้นท่านและชาวบ้านจึงมาอยู่รวมกัน ณ บางระจัน ท่านได้ต่อสู้กับทหารพม่า จนเสียชีวิตในสนามรบ

            4. นายอิน
            เป็นคนบ้านสีบัวทอง ที่มากับนายแท่น นายโชติ นายเมือง เป็นคนหนึ่งที่ร่วมกันฆ่าทหารพม่าในครั้งแรก
แล้วมารวมรวมกำลังตั้งค่ายบางระจันขึ้น ณ วัดโพธิ์เก้าต้น ท่านเป็นผู้นำชาวบ้านที่ออกต่อสู้กับทหารพม่า ด้วยความ
กล้าหาญ จนตัวตายในสนามรบ

            5. นายดอกแก้ว
            อยู่เมืองวิเศษชัยชาญ เมืองถูกกองทัพพม่าตีเมืองวิเศษชัยชาญแตกและยึดเมืองได้ นายทองแก้วจึงรวบรวม
ชาวบ้านหลบหนีไปอยู่ที่บ้านโพธิ์ทะเล ท่านหนีออกมาคราวเดียวกับยานดอก

            6. นายทองแสงใหญ่
            ท่านที่เป็นผู้นำระดับแนวหน้า และท่านเป็นผู้ที่คิดตั้งค่ายน้อยเพื่อลวงทหารพม่า ท่านคัดชายฉกรรจ์ จำนวนหนึ่ง
ตั้งค่ายขึ้นอีกค่ายหนึ่ง ซึ่งห่างจากค่ายใหญ่ออกไปในค่ายใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยคนแก่ทั้งชายหญิงเด็กเล็กและผู้ป่วยที่บาดเจ็บจาก
การสู้รบและมีการเสียชีวิตทุกวันท่านต่อสู้กับทหารพม่าด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด

            7. นายเมือง
            เป็นคนบ้านศรีบัวทอง เมืองสิงห์บุรี ร่วมกับนายอิน นายโชติ นายแท่น และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ลวงทหารพม่า
ไปฆ่า และท่านเป็นคนไปนิมนต์ พระอาจารย์ธรรมโชติ จากแคว้นเมืองสุพรรณ มาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น ค่ายบางระจัน

            8. ขุนสรรค์
           
จากเมืองสรรค์บุรี ท่านได้รวบรวมชาวบ้านต่อสู้กับทหารพม่าที่ยกทัพพม่ามาทางเมืองอุทัยธานีท่านมีฝีมือ
ในการยิงปืน เมื่อท่านกับชาวบ้านต่อต้านทหารพม่าไม่ไหวจึงชักชวนชาวบ้านมารวมกันที่บางระจัน และได้รวมรบกับ
ชาวบ้านศรีบัวทอง ชาวเมืองวิเศษชัยชาญ ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ ที่วัดโพธิ์เก้าต้นค่ายบางระจัน ท่านได้ให้ชาวบ้าน
รวบรวมอาวุธต่าง ๆ ที่ยึดได้จากทหารพม่าในการรบทุกครั้ง

            9. นายดอก
            ท่านอยู่เมืองวิเศษชัยชาญ เมื่อกองทัพพม่ายกมาล้อมกรุงศรีอยุธยา แม่ทัพพม่าสั่งให้กองทัพออกตีหัวเมือง
ต่าง ๆ เมืองวิเศษชัยชาญจึงอยู่ในเป้าหมาย เมืองกองทัพพม่าเข้าตีเมืองวิเศษชัยชาญแตก นายดอกจึงชักชวนชาวบ้าน
ไปอยู่บ้านตลับ คือบ้านตลับ ในปัจจุบัน นายดอกเป็นผู้นำชาวบ้าน ท่านได้ร่วมรบกับชาวบ้านบางระจัน กองทัพพม่าบุก
เข้าได้แล้ว ทำให้ท่านเสียชีวิตในสนามรบ

            10. นายจันหนวดเขี้ยว
            ท่านเป็นคนบางระจัน เดิมเป็นคนชื่อจันชอบไว้หนวดและแต่งหนวดให้งอนดูเหมือนเขี้ยวชาวบ้านทั่วไปจึง
เรียกท่านว่า นายจันหนวดเขี้ยว ท่านเป็นผู้กล้าหาญมีฝีมือในการต่อสู้ท่านเป็นเหมือนครูฝึกประจำหมู่บ้านให้เด็กหนุ่มสาว
ในเมื่อทหารพม่ามาข่มเหงชาวบ้าน ท่านจึงออกช่วยชาวบ้านจึงเกิดการต่อสู้ เด็กหนุ่มที่ท่านฝึกให้รวมพลังกันรบทหาร
พม่าได้รับชัยชนะ ท่านจึงให้พวกชาวบ้านไปรวมตัวกันอยู่ที่วัดโพธิ์เก้าต้น ครั้งสุดท้ายพม่าเปลี่ยนวิธีการรบ คือพม่า
สร้างค่ายเป็นป้อมค่ายมาเรื่อย ๆ และยิงปืนใหญ่ออกมา ไม่ต้องออกมารบแทน จึงสร้างความกดดันให้ชาวบ้าน
บางระจันเป็นอย่างมาก นายจันหนวดเขี้ยวพร้อมกับชาวบ้านเข้าตีค่ายพม่า ในค่ายพม่ามีสุกี้เป็นแม่ทัพ ท่านถูกทหาร
พม่าฆ่าตายในสนามรบ

            11. นายทองเหม็น
            ท่านว่าชาวบางระจัน เข้าร่วมในค่ายบางระจันและเป็นอีกท่านหนึ่งที่ร่วมวางแผนในการรบครั้งที่ 4 ท่าน
ทำหน้าที่เป็นปีกขวา ร่วมกับนายโชติ นายดอก นายทองแก้ว คุมพล 200 คน ไปข้ามคลองบ้านขุนโลก ตีโอบหลัง
ข้าศึก ผลทำให้พม่าแตกพ่าย ครั้งสุดท้ายพม่าทำการรบแต่ในค่ายโดยยิงปืนใหญ่ออกมา นายทองเหม็นสุดที่จะทน
ร่วมกับพวกชาวบ้านบางระจันจำนวนหนึ่ง โดยนายทองเหม็นขี่กระบือเผือกตลุยฝ่าค่ายพม่า จึงเสียทีพม่า
นายทองเหม็นถูกพม่าจับฆ่าตายในที่นั้น

            วีรกรรมของเหล่าผู้นำที่เสียสละเป็นที่ยกย่องกล่าวถึงเป็นร้อยปีและจะกล่าวขานต่อไปนานแสนนานเพื่อ
ให้ลูกหลานได้จารึกถึงคุณงามความดีไปตลอดกาลเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ตลอดกาลนานเทอญ

เอกสารอ้างอิง
ประภัสร์ ภูมิไชยา. วีรชน บางระจัน. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://203.131.219.167/km2559/2015/03/03/
              วีรชน-บางระจัน/ [5 พฤษภาคม 2566]
ศิลปะ วัฒนธรรม แหล่งมรดก และสถาปัตยกรรม สิงห์บุรี. อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน. [ออนไลน์].
             แหล่งที่มา: https://thai.tourismthailand.org/Attraction/อนุสาวรีย์วีรชนและอุทยานค่ายบางระจัน
             [5 พฤษภาคม 2566]

Back

You are visitor number web counter Since: 5 May 2023