อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

          ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลาน
ไม่ได้ผลแล้ว อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบ
กว่านั้นเขาตอบว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว" ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบ
กับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือนโดยทั่วไป เราตอบท่านว่า "ครับ"
หรือ "ค่ะ" คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า
"รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ
ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบ ท่านว่า
"รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา
เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชาซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็น
คนเลว
           ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยิน
คำว่า "รู้แล้วๆๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลาน สมัยนี้ไม่สนุกเลย กว่าจะเอ่ยถ้อยคำ
ออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยา
ร้าย ตอบเรา อย่างไรบ้าง?
          คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี
รับรองว่าได้เสียใจ ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอก ว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไร
ก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิดก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก ผิดกับตอนที่ผมเป็น
อาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียน
วิชาการ เสียอีก เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง : "ไม่หุ้น
ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว"
          เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้
จากการทำตามคำสอนของผม ส่วนอาจารย์อื่น เขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขา
คิดว่าโตๆ กันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อ
ที่ผิด วัยหนุ่มสาวนี้แหละ เขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่า
ยุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่ เช่น ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์
บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า
"ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"
          ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คน
อายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคย ผิดพลาดมาแล้ว จึง
เป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมาก
เป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีก จำนวนหนึ่งไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจ
ของเขาเป็นอย่างไร?


เขาก็เป็นอย่างนี้
          1.คิดตื้นชั้นเดียว ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า
เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที
          2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี เช่น หญิงสาวเดิน
เปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่าอยาก
ทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่
สำคัญเท่าความคิด ของตน
          3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความ
ยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราว
ถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวย
ไว้ก่อน เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด
          4. ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา มีตัวเองคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเพื่อนแท้
เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่ง
หน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และ
ฆ่าตัวตาย ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก
และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา เพราะว่าเขา
ไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณี
มีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา ท่านผู้ใดมีลูกหลาน ผิดจากที่ผมกล่าวจง
ดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”
          การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ "โรครู้แล้ว รู้แล้ว"
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญ ที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้
           สื่อโซเชียล ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่
ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้ เขาไม่ต้องการติดต่อคบหา กับใคร เขามีเพื่อนในอากาศ
อยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด บุคลิกกลายเป็น
คนเฉย หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไป
เรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้
ให้ค่า ประการสำคัญ เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก ผู้ใหญ่มัก
ต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์ ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามาก
ถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่
           การเคลื่อนตัวของจักรวาล คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่ว
จักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่าง
ทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจาก ดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พลังจักรวาล
มีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยน
ไปจากเดิม ด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป
           ศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์
มีใจบาป ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์
และกินสัตว์เป็นอาหาร ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลามที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้าม
กินเนื้อสัตว์ ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์
ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อ
แม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ
           สังคม มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาว
ไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใคร เพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน
การพูดจาไม่ต้องสุภาพ ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี
ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ

          4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน
“รู้แล้ว รู้แล้ว” ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง
เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป” ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขา
ให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน
ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

          "ขอให้ท่านโชคดี" ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง "รู้แล้ว รู้แล้ว” เพราะว่าโดน
มามากแล้วใช่ไหม?
บุญ ไท
          * ขออนุญาตเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจ
กับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัว
และคนไกลตัวที่อาจจะ ต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อม
เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ          
          การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรม
ความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน           
          การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนา
คุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

            เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อย
ปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจของคนต่างวัย
ในชายคาเดียวกัน
"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565

 

You are visitor No. web counter Since 9 September 2022